วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

กฎหมายยาเสพติด..ควรรู้


  กฎหมายยาเสพติด..ควรรู้ 

 ยาเสพติด หมายถึง สารหรือยาชนิดใด ๆ หรือยาที่อาจเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติ หรือจากการสังเคราะห์ ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะโดยการกิน ดม สูบ ฉีด หรือด้วยวิธีการใด ๆ แล้วจะทำให้เกิดผลต่อร่างกายสมองและจิตใจ


กฎหมายแบ่งประเภทยาเสพติด  ในทางกฎหมาย สิ่งที่ถือว่าเป็นยาเสพติดนั้นจะต้องมีกฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจน หากไม่มีกฎหมายระบุไว้ สิ่งนั้นก็ไม่ใช่ยาเสพติด แม้ว่าสิ่งที่เสพนั้นจะมีฤทธิ์ที่ทำให้เกิดการเสพติดได้ก็ตาม เช่น บุหรี่ สุรา
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ..2522 ได้แบ่งยาเสพติดให้โทษ (มาตรา7) ออกเป็น ประเภทด้วยกัน ดังนี้

q       ประเภทที่ 1 ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง มี 38 รายการที่สำคัญ คือ เฮโรอีน แอมเฟตามีน แมทแอมเฟตามีน เอ็กซ์ตาซี และแอลเอสดี
q       ประเภทที่ 2 ยาเสพติดให้โทษทั่วไป มี 102 รายการที่สำคัญ คือ ใบโคคา โคคาอีน โคเดอีน ยาสกัดเข้มข้นของต้นฝิ่นแห้ง เมทาโดน มอร์ฟีน ฝิ่นยา (ฝิ่นที่ผ่านกรรมวิธีปรุงแต่งเพื่อใช้ในทางยาฝิ่น (ฝิ่นดิบ ฝิ่นสุก มูลฝิ่น)
q       ประเภทที่ 3 ยาเสพติดให้โทษที่มีลักษณะเป็นต้นตำรับยาและมียาเสพติดให้โทษประเภท ผสมอยู่ คือ ยารักษาโรคที่มียาเสพติด ประเภท เป็นส่วนประกอบอยู่ในสูตร เช่น ยาแก้ไอ ยาแก้ท้องเสีย
q       ประเภทที่ 4 สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษประเภท หรือ มี 32 รายการที่สำคัญ เช่น อาเซติค แอนไฮไดรด์ อาเซติค คลอไรด์
q       ประเภทที่ 5 ยาเสพติดให้โทษที่ไม่เข้าอยู่ในประเภท ถึง มี รายการ คือ กัญชา พืชกระท่อม พืชฝิ่น ทุกส่วนของพืชกัญชา ทุกส่วนของพืชกระท่อม และพืชเห็ดขี้ควาย

ข้อหา
ยาเสพติดให้โทษประเภท1
ยาเสพติดให้โทษประเภท2

ผลิตน้ำเข้าส่งออก

-จำคุกตลอดชีวิต (.65.1)
-ถ้ากระทำเพื่อจำหน่าย ประหารชีวิต (.65.2)
-คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 20กรัม ขึ้นไป ถือว่ากระทำเพื่อจำหน่าย (.15)

-จำคุก 1-10 ปีและปรับ 10,000บาท (.68)
-ถ้าเป็นมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีน จำคุก 20 ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับ200,000-500,000 บาท(.68)
จำหน่ายครอบครองเพื่อจำหน่าย
-คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกิน100 กรัมจำคุก ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับ 50,000-500,000 บาท (.66.1)
-คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกิน100 กรัม จำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต (.66.2)

-จำคุก 1-10 ปี และปรับ 10,000บาท-100,000 บาท(.69.2)
-ถ้าเป็นมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีน คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกิน 100กรัม จำคุก 3-20 ปี และปรับ30,000-200,000 บาท ถ้าคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่า 100 กรัม จำคุก ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับ50,000-500,000 บาท(.69.4)

ครอบครอง

-คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่ถึง20 กรัม จำคุก 1-10 ปี และปรับ10,000-100,000บาท (.67)
-คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 20กรัมขึ้นไป ถือว่าครอบครองเพื่อจำหน่าย (.15)

-คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกิน 100กรัม จำคุกไม่เกิน ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท (.69.1)
-คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 100 กรัม ขึ้นไป ถือว่าครอบครองเพื่อจำหน่าย(.17)

เสพ

-จำคุก เดือน ถึง 10 ปีและปรับ 5,000-100,000 บาท(.91)
-จำคุก เดือน ถึง 10 ปีและปรับ5,000-100,000 บาท (.91)
ใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญ ใช้กำลัง ประทุษร้ายฯ
-จำคุก 1-10ปี และปรับ10,000-100,000บาท (.93)
-กระทำโดยมีอาวุธหรือร่วมกันคนขึ้นไป จำคุก 2-15 ปี และปรับ 20,000-150,000บาท
-ถ้ากระทำต่อหญิงหรือต่อผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือเพื่อจูงใจให้ผู้อื่นกระทำความผิดอาญา หรือเพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดอาญา จำคุก ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับ 30,000-500,000บาท

-จำคุก 1-10ปี และปรับ 10,000-100,000บาท (.93)
-กระทำโดยมีอาวุธหรือร่วมกัน คนขึ้นไป จำคุก 2-15 ปี และปรับ20,000-150,000บาท
-ถ้ากระทำต่อหญิงหรือต่อผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือเพื่อจูงใจให้ผู้อื่นกระทำความผิดอาญา หรือเพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดอาญา จำคุก ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับ 30,000-500,000บาท

ให้ผู้อื่นเสพ

-ถ้าเป็นมอร์ฟีน หรือโคคาอีน ระวางโทษเพื่มกึ่งหนึ่ง(.93.4)
-ถ้าเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทต้องระวางโทษเป็น 2เท่า และถ้าเป็นการกระทำต่อหญิงหรือบุคคลซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องระวางโทษประหารชีวิต (.93.5)

-ถ้าเป็นมอร์ฟีน หรือโคคาอีน ระวางโทษเพื่มกึ่งหนึ่ง (.93.4)
-ถ้าเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท1ต้องระวางโทษเป็น เท่า และถ้าเป็นการกระทำต่อหญิงหรือบุคคลซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องระวางโทษประหารชีวิต (.93.5)

ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นเสพ

-จำคุก 1-5 ปี และปรับ10,000-50,000 บาท(.93ทวิ)

-จำคุก 1-5 ปี และปรับ 10,000-50,000 บาท (.93ทวิ)


ข้อหา
ยาเสพติดให้โทษประเภท3
ยาเสพติดให้โทษประเภท4

ผลิตนำเข้า

-จำคุกไม่เกิน ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (.70)
-จำคุกตั้งแต่ 1-10ปี และปรับ10,000-100,000 บาท (.73)

ส่งออกจำหน่าย

-จำคุกไม่เกิน ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (.71)
-จำคุกตั้งแต่ 1-10ปี และปรับ10,000-100,000 บาท (.73)

ครอบครองเพื่อจำหน่าย

-
-จำคุกตั้งแต่1-10ปี และปรับ10,000-100,000 บาท(.74.2)

ครอบครอง

-
-จำคุกไม่เกิน ปี และปรับไม่เกิน50,000 บาท (.74)
-ถ้า 10 กก.ขึ้นไป ถือว่าครอบครองเพื่อจำหน่าย (.26.2)

เสพ

-
-
ใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลัง ประทุษร้ายฯ ให้ผู้อื่นเสพ

-จำคุก 1-10ปี และปรับ10,000-100,000 บาท(.93)
-ถ้ากระทำโดยมีอาวุธหรือร่วมกัน คนขึ้นไป จำคุก 2-15 ปี และปรับ 20,000-150,000บาท (.93.2)
-ถ้ากระทำผิดต่อหญิงหรือต่อผู้ไม่บรรลุนิติภาวะ หรือเพื่อจูงใจให้ผู้อื่นกระทำความผิดอาญา หรือเพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดอาญา จำคุก ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับ 30,000-500,000 บาท (.93.3)

-จำคุก 1-10ปี และปรับ 10,000-100,000 บาท(.93)
-ถ้ากระทำโดยมีอาวุธหรือร่วมกัน 2คนขึ้นไป จำคุก 2-15 ปี และปรับ20,000-150,000 บาท (.93.2)
-ถ้ากระทำผิดต่อหญิงหรือต่อผู้ไม่บรรลุนิติภาวะ หรือเพื่อจูงใจให้ผู้อื่นกระทำความผิดอาญา หรือเพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดอาญา จำคุก ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับ 30,000-500,000 บาท(.93.3)

ข้อหา
ยาเสพติดให้โทษประเภท 5
ไม่รวมพืชกระท่อม
ยาเสพติดให้โทษประเภท 5
เฉพาะพืชกระท่อม
ผลิตนำเข้า ส่งออก จำหน่าย
-จำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และปรับ20,000-150,000 บาท(.75.1)
-จำคุกไม่เกิน ปี และปรับไม่เกิน20,000 บาท (.75.2)

ครอบครองเพื่อจำหน่าย

-จำคุกตั้งแต่ 2-15 ปี และปรับ20,000-150,000 บาท(.76.2)

-จำคุกไม่เกิน ปี และปรับไม่เกิน20,000 บาท (.76.4)

ครอบครอง

-จำคุกไม่เกิน ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาท (.76 .1)
-ถ้า 10 กก.ขึ้นไป ถือว่าครอบครองเพื่อจำหน่าย (.26.2)

-จำคุกไม่เกิน ปี และปรับไม่เกิน10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(.76.3)
-ถ้า 10 กก.ขึ้นไป ถือว่าครอบครองเพื่อจำหน่าย (.26.2)

เสพ

-จำคุกไม่เกิน ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท (.92.1)

-จำคุกไม่เกิน เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท (.92.2)
ใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลัง ประทุษร้ายฯ ให้ผู้อื่นเสพ
-จำคุก 1-10 ปี และปรับ10,000-100,000 บาท (.93)
-ถ้ากระทำต่อหญิงหรือต่อผู้ไม่บรรลุนิติภาวะ หรือเพื่อจูงใจให้ผู้อื่นกระทำความผิดอาญา หรือเพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดอาญา จำคุก ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับ 30,000-500,000 บาท

-จำคุก 1-10 ปี และปรับ 10,000-100,000 บาท (.93)
-ถ้ากระทำต่อหญิงหรือต่อผู้ไม่บรรลุนิติภาวะ หรือเพื่อจูงใจให้ผู้อื่นกระทำความผิดอาญา หรือเพื่อประโยชน์ในการกระทำความผิดอาญา จำคุก ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับ 30,000-500,000 บาท

ยุยงส่งเสริม ให้ผู้อื่นเสพ

-จำคุกไม่เกิน ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท (.93 ทวิ ว.2)
-จำคุกไม่เกิน ปี และปรับไม่เกิน10,000 บาท (.93 ทวิ ว.2)
         ...มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิด เกี่ยวกับยาเสพติด พ..2534
วัตถุประสงค์  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยเฉพาะการมุ่งเอาผิดต่อผู้ค้ายาเสพติด ระดับนายทุน และตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการกระทำความผิด และริบทรัพย์สินที่ได้รับมาจากการค้ายาเสพติด เพื่อขจัดแหล่งเงินทุนในการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับยาเสพติด
          ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับยาเสพติดและศาลสั่งริบ ให้ตกเป็นของ กองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด” เพื่อนำทรัพย์สินที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป

ข้อคิดสำหรับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

“ ไม่ว่าจะได้รับทรัพย์สินเงินทองมากเท่าใดจากการผลิต การค้ายาเสพติด ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สิน หรือโอนไปอยุ่ในชื่อของใครก็ตาม เช่น ลูกเมีย ญาติพี่น้อง หรือคนใกล้ชิด   หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ทรัพย์สินเหล่านั้นได้มาอย่างบริสุทธิ์ ศาลจะสั่งริบทรัพย์สินนั้นให้ตกเป็นของ กองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดต่อไป และยังต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในคุกอีกด้วย 

อัตราการจ่ายเงินสินบนเงินรางวัลคดียาเสพติด 

        ผู้ที่แจ้งข่าวสารยาเสพติด แก่เจ้าหน้าที่จนสามารถจับกุมผู้กระทำผิด และของกลางยาเสพติดได้ ผู้แจ้งความนำจับจะได้รับเงินค่าตอบแทนการแจ้งข่าวนำจับ เรียกว่า เงินสินบนเงินรางวัล” ซึ่งมีอัตราการจ่ายเงินตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนเงินรางวัลคดียาเสพติด พ..2537 ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
    1. เฮโรอีน                   กรัมละ  10 บาท
    2. มอร์ฟีน                   กรัมละ  4  บาท
    3. ฝิ่น ฝิ่นยา (มอร์ฟีน)   กรัมละ  4  บาท
    4. กัญชา                     กรัมละ  0.02 บาท
    5. ยางกัญชา หรือกัญชาน้ำ    กรัมละ  10  บาท
    6. อาเซติค แอนไฮไดรด์       กรัมละ  10  บาท
    7. อาเซติค คลอไรด์             กรัมละ  10  บาท
    8. อีเทอร์ คลอโรฟอร์ม         กรัมละ  3  บาท
    9. แอมเฟตามีน หรือ เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า)
          ชนิดผง                   กรัมละ  20  บาท
          ชนิดเม็ด คดีไม่เกิน 10 เม็ด จ่าย 200 บาท
          คดี 11-500 เม็ด จ่ายไม่เกิน 5,000 บาท
          คดี  501 เม็ด จ่าย 5,000 บาท
          ส่วนที่เกิน 500 เม็ด ๆละ 3  บาท
          แต่รวมแล้วไม่เกิน 20,000 บาท
    10. ยาเสพติดอื่น ๆ (ยกเว้นพืชกระท่อมกรัมละ บาท





ขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.mukdahannews.com/h-ampata.htm

โทษของบุหรี่

โทษของบุหรี่ 
"บุหรี่=ยาเสพติด" ยิ่งสูบ ยิ่งเสี่ยง (สสส.)
เรื่องโดย พิมพ์ชนก ศรเพชร Team Content www.thaihealth.or.th

      โทษของบุหรี่    หากพูดถึงยาเสพติด ใครหลายคนอาจจะลืมนึกไปว่า "บุหรี่" ก็ถูกจัดให้เป็นยาเสพติดชนิดหนึ่งเหมือนกัน ส่วนโทษภัยของบุหรี่นั้น ก็ไม่ได้น้อยไปกว่ายาเสพติดชนิดอื่น ๆ แต่กลับมีพิษร้ายแรงมากกว่า และยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคร้ายแรงต่อผู้สูบได้มากมายเลยทีเดียว

          ผศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยโรคทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤต ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พูดถึงโทษภัยของบุหรี่ว่าบุหรี่ถูกจัดให้เป็นสารเสพติดชนิดหนึ่ง เพราะภายในบุหรี่มีสารเคมีอยู่เป็นจำนวนมาก ที่ทำให้ผู้เสพเกิดความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย หรือจิตใจ และยังมีความต้องการเสพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย ซึ่งภายในควันบุหรี่ มีสารเคมีที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ด้วยกันคือ

           1.สารเคมี ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการเสพติด มีสารที่รู้จักกันดี คือ นิโคติน

           2.สารที่ไม่พึงปรารถนา ไม่ได้มีไว้เสพติด อย่างเช่น ตะกั่ว ฟอร์มาลดีไฮด์

          ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกให้ข้อมูลว่า สารพิษที่อยู่ในบุหรี่มีมากกว่า 7,000 ชนิด  ซึ่งเกิดจากกระบวนการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ มีทั้งก๊าซไฮโดรคาร์บอน ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งล้วนแต่เป็นสารชนิดเดียวกับ สารที่อยู่ในควันท่อไอเสียรถยนต์ทั้งสิ้น นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งสารพิษอันตรายคือ สาร PAH (Polycyclie Aromatic Hydrocarbon ) เป็นสารก่อมะเร็ง ถ้าสูบบุหรี่ต่อเนื่อง 5-10 ปี จะทำให้เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ได้สูบ

         โทษของบุหรี่ คุณหมอสุทัศน์ อธิบายต่อว่า เนื่องจากสารเคมี 7,000 ชนิดไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายในทันที  จึงทำให้คนที่สูบบุหรี่ ไม่ได้สนใจสุขภาพตนเอง แต่รู้หรือไหมว่า สารพิษจะค่อย ๆ สะสม และเริ่มแสดงอาการเมื่อสูบต่อเนื่อง 5-10 ปี เป็นขั้นต่ำ ส่วนปริมาณการสูบก็มีผลเช่นกัน ถ้าสูบมากจะเห็นผลเร็ว สูบน้อยจะเห็นผลช้ากว่า แต่เห็นผลกับทุกคน คนที่เลิกได้เร็ว ก็จะได้สารพิษในระดับที่น้อยกว่าคนที่สูบเป็นระยะเวลานาน

          "เมื่อมีสารพิษอยู่เป็นจำนวนมาก โรคภัยที่เกิดจึงมีมากมายไม่ต่ำว่า 25 โรค"

          เท่าที่หลายคนรู้จักส่วนใหญ่ก็จะเป็นโรคมะเร็ง ถุงลมโป่งพอง แต่การสูบบุหรี่เกิดผลเสียร้ายแรงต่อทุกระบบในร่างกาย ตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งลักษณะของคนที่สูบบุหรี่สามารถสังเกตได้ว่าจะมีลักษณะ
โทษของบุหรี่
หัวล้าน และมีผมหงอกเร็ว กลิ่นตัวเหม็น ฟันผุ เป็นโรคเหงือกอักเสบร่วมด้วย

          การสูบบุหรี่ทำให้ตาบอดได้ เพราะเกิดภาวะต้อกระจกได้เร็วกว่าคนทั่วไป เนื่องจากสารพิษจะเร่งให้เลนส์ตาที่อยู่ข้างในลูกตาขุ่นมัว และเริ่มขุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่สูบ จนเกิดเป็นภาวะต้อกระจก ถ้าไม่ผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ก็จะตาบอด และอีกภาวะหนึ่งคือ หลอดเลือดเลี้ยงจอเรตินาหรือจอประสาทตาตีบตัน ส่งผลให้เซลล์ประสาทของจอประสาทตาขาดเลือด และตายไป ทำให้ตาบอดถาวร ไม่สามารถรับภาพ หรือแสงได้

สูบบุหรี่

          นอกจากนี้ สารพิษในควันบุหรี่ยังทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบ แตก ตัน ไม่ว่าจะเป็นโรคอัมพาต อัมพฤกษ์ ที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ แตก ตัน ทั้งนี้ โรคหลอดหลอดเลือดหัวใจ ตีบแตก ตัน ทำให้หัวใจวายเฉียบพลัน เป็นโรคลำไส้เน่า ที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดที่เลี้ยงลำไส้ตีบ ตัน รวมถึงเกิดแผลเรื้อรังที่ปลายมือปลายเท้าได้ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน จะมีอาการหลอดเลือดตีบโดยปกติของโรคอยู่แล้ว แต่เมื่อสูบบุหรี่ สารพิษที่เข้าสู่ร่างกายก็เหมือนเป็นตัวเร่งทำให้มีอาการหนักขึ้น ในที่สุดเลือดไปเลี้ยงปลายมือเท้าไม่เพียงพอ ทำให้หลอดเลือดแตก และรักษาไม่หาย

         
 "หมอเคยพบผู้ป่วยคนเดียวเป็นมะเร็งถึง 3 ชนิด พร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน คือ เป็นมะเร็งปอด มะเร็งที่กล่องเสียง และมะเร็งที่หลอดอาหาร ทำให้ยากที่จะรักษา เพราะเป็นมะเร็งในอวัยวะที่แตกต่างกัน มีเนื้อเยื่อคนละชนิดกัน ทำได้เพียงรักษาแบบประคับประคองเท่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนอุทาหรณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่สูบบุหรี่ใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยงตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่านาทีไหนจะพลัดตกจากเส้นยาแดงที่เดินอยู่" คุณหมอสุทัศน์ บอก
          บุหรี่เป็นยาเสพติด ที่มีผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพร่างกายอย่างมาก ซึ่งไม่ใช่เพียงส่งผลโดยตรงต่อผู้สูบเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบต่อผู้คนรอบข้างที่ได้รับควันบุหรี่อีกด้วย สำหรับผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ หนทางเลิกมีอยู่มากมายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น 1600 สายด่วนเลิกบุหรี่ คลินิกฟ้าใสทั่วประเทศ สถานพยาบาลทุกที่ใกล้บ้านให้บริการทั่วประเทศ


ขอบคุณข้อมูลจาก http://health.kapook.com/view63279.html

โทษของยาเสพติด(ในทางพุทธศาสนา)


โทษของยาเสพติด(ในทางพุทธศาสนา) สิ่งเสพติด หรือที่เรียกกันว่า "ยาเสพติด" ในความหมายของ องค์การอนามัยโลก (World Health Organization or WHO) จะหมายถึงสิ่งที่เสพเข้าไปแล้วจะเกิดความต­้องการทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อไปโดยไม่ส­ามารถหยุดเสพได้ และจะต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่อร่า­งกายและจิตใจขึ้น


พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พุทธศักราช 2522 ที่ใช้ในปัจจุบันได้กำหนดความหมายสิ่งเสพต­ิดให้โทษดังนี้ สิ่งเสพติดให้โทษ หมายถึง สารเคมีหรือวัตถุชนิดใดๆ ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยรับ­ประทาน ดม สูบ ฉีด หรือด้วยประการใดๆ แล้วทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลักษณ­ะสำคัญ เช่น ต้องเพิ่มปริมาณการเสพขึ้นเรื่อยๆ มีอาการขาดยาเมื่อไม่ได้เสพ มีความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจอย­่างรุ่นแรงอยู่ตลอดเวลา และทำให้สุขภาพทรุดโทรม

โทษของยาเสพติด(ในทางพุทธศาสนา) ปัจจุบันนี้สิ่งเสพติดนับว่าเป็นปัญหาสำคั­ญของประเทศ เพราะสิ่งเสพติดเป็นบ่อเกิดของปัญหาอื่นๆ หลายด้าน นับตั้งแต่ ตัวผู้เสพเองซึ่งจะเกิดความทุกข์ลำบากทั้ง­กายและใจ และเมื่อหาเงินซื้อยาไม่ได้ก็อาจจะก่อให้เ­กิดอาชญากรรมต่างๆ สร้างความเดือดร้อนให้พ่อแม่พี่น้อง และสังคม ต้องสูญเสียเงินทอง เสียเวลาทำมาหากิน ประเทศชาติต้องสูญเสียแรงงานและสูญเสียเงิ­นงบประมาณในการปราบปรามและรักษาผู้ติดสิ่ง­เสพติด และเหตุผลที่ทำให้สิ่งเสพติดเป็นปัญหาสำคั­ญของประเทศอีกข้อหนึ่งคือ ปัจจุบันมีผู้ติดสิ่งเสพติดเพิ่มมากขึ้น

รายละเอียดของมิจฉาทิฐฐิ หรือ ความเห็นผิด ประกอบด้วย
1. เห็นว่า ทานไม่มีผล คือ ทำทานแล้วไม่เกิดผลใดๆ
เห็นว่า สงเคราะห์ไม่มีผล คือ การช่วยเหลือกัน เป็นสิ่งไร้สาระ เพราะรัฐบาลคอยให้สวัสดิการแก่ทุกคนเท่ากั­นอยู่แล้ว
2.เชื่อว่า การปฏิสันถารบุคคลที่ควรแก่การต้อนรับเชื้­อเชิญไม่มีผล
3. เห็นว่า การบูชาคนที่ควรบูชาไม่มีผล คือ ไม่ต้องบูชาใคร เราเติบโดมาได้ด้วยตัวเราเอง ไม่มีใครช่วย
4. เห็นว่า โลกนี้ ไม่มี เชื่อว่าตายเกิดชาติเดียว แล้วสูญ
5. เห็นว่า โลกหน้า ไม่มี เชื่อว่าตายเกิดชาติเดียว แล้วสูญ
6. เห็นว่า กฏแห่งกรรมไม่มีจริง ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป
7. เห็นว่า บิดาไม่มีพระคุณ ที่ให้กำเนิดลูกมา เพราะรักสนุก นั่นเอง
8. เห็นว่า มารดาไม่มีพระคุณ เป็นแค่สหายร่วมโลก
9. เห็นว่า เทวดา พรหม เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ไม่มี ไม่เชื่อว่า พวกนี้มีจริง
10. เห็นว่า พระอรหันต์ ผู้หมดกิเลส ไม่มีจริงในโลก อิมพอสสิเบิ้ล

สัมมาทิฐฐิ ระดับโลกียะ จะเป็นตรงข้ามกับมิจฉาทิฐฐิ
ในบรรดาโทษของอกุศลกรรมทุกชนิดนั้น โทษอันเกี่ยวเนื่องกับนิยตมิจฉาทิฏฐิ จัดเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุด สมดังมีพระพุทธดำรัสไว้ ในอังคุตตรพระบาลีว่า
"ปรมานิ ภิกฺขเว วชฺชานิ"

ขุมนรกที่ 5 โทษของยาเสพติด ตอนที่ 1




ขุมนรกที่ 5 โทษของยาเสพติด ตอนที่ 2



โทษของสุรา 6 ประการ (ในทางพุทธศาลนา)


ทำไม การดื่มสุรา จึงเป็นเรื่องที่ควรงดเว้น ท่าน พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ ท่านบอกว่า เพื่อให้เห็น

โทษของสุรา 6 ประการ (ในทางพุทธศาลนา) เหตุผลชัดเจน ควรจะได้ยกเอาพระพุทธวจนะ ในคัมภีร์พระไตรปิฎก มาพิจารณากัน เพราะ
ท่านได้แสดงไว้อย่างครบ ถ้วนพอเพียงที่ใครๆจะเห็นสมจริงว่า การดื่มสุราเป็นข้อควรงด
เว้นจริงๆ

โทษของสุรา 6 ประการ (ในทางพุทธศาลนา) ในพระไตรปิฎกดังกล่าว ท่านระบุโทษของสุราไว้ ๖ สถาน ซึ่งเราจะได้หยิบ ขึ้นศึกษาเป็น
ข้อๆไป ดังต่อไปนี้ 

โทษข้อที่ ๑ เหล้าทำให้เสียทรัพย์ 

ข้อนี้เห็นจะไม่มีใครสงสัย เห็นกันตำตาอยู่แล้ว เพราะเหล้าเป็นสิ่งที่เราทำ กินเองไม่ได้
ไม่เหมือนข้าวปลาอาหารอย่างอื่น ถ้าใครขืนต้มเหล้าเองก็ผิด กฎหมาย เมื่อทำเองไม่ได้
ก็จำเป็นต้องซื้อเขากินนี่แหละทางเสียทรัพย์บาง คนอ้างว่า เรากินเหล้าที่คนอื่นเลี้ยง ก็ไม่
เห็นจะต้องเสียเงินเสียทอง ถูกแล้ว ที่เขาดื่มเหล้าส่วนมาก หรือแทบทุกคน ก็มักจะเริ่มต้น
ด้วยการ"กินเหล้าฟรี" ทั้งนั้น คือถูกคนอื่นเขายัดเยียดให้ดื่ม จึงดื่ม แต่ครั้นฟรีไปๆ ไม่เท่าไร
ตัว ก็ต้องซื้อดื่มเอง และนานเข้า ก็ต้องซื้อเลี้ยงคนอื่นด้วย เพื่อใช้หนี้เหล้าที่ เขาได้ซื้อเลี้ยง
เรามา และก็เป็นการลงทุนไว้สำหรับวันหน้าด้วย เขาจะได้ เลี้ยงเราบ้างนอกกจากนั้น บางคน
ยังอ้างว่า เราดื่มแต่น้อย พอเจริญอาหาร ไม่เห็นจะทำให้ล่มจมอะไร นี่ก็ถูกอีก แต่อย่าลืมว่า
มากย่อมจะมาจากน้อย ถ้าเราขุดหลุมฝังตัวเอง วันหนึ่งลึกคืบหนึ่ง ท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไร....
ถูก พรุ่งนี้อีกคืบหนึ่ง ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรอีก... ถูกอีก
มะรืนนี้อีกคืบหหนึ่ง ท่านก็ว่าไม่เป็นไร.... ก็ถูกอีก

แต่ถ้าขุดลงวันละคืบไม่รู้จักหยุด ถึงท่านจะบอกว่า ไม่เป็นไรๆ ทุกวันก็ตาม นานเข้า หลุม
นั้นก็จะลึกลงๆ อาจถึง ๑๐๐ คืบ ๒,๐๐๐ คืบ และการขึ้นจาก หลุมนั้น ท่านอาจจะต้องใช้บันได
พาด ก้าวขึ้นเองไม่ได้ง่ายๆ เหมือนแต่ก่อน และถ้าขืนขุดลึกลงไปอีก เพียงวันละคืบๆเท่านั้น
ท่านก็จะไม่มีทางขึ้นจาก หลุมนั้นได้เลย แม้ปากท่านจะบอกว่า ไม่เป็นไรๆก็ตาม และก็ไม่แน่
นักว่าผู้อื่นจะะสามารถช่วยท่านได้ สิ่งที่แน่ที่สุด มีอยู่อย่างหนึ่ง คือหลุมนั้น จะกลายเป็นหลุม
ฝังศพของท่านเองเรื่องดื่มเหล้าก็เหมือนกันนั่นแหละ ท่าน เพราะคนหลงคารมของตัวเอง
ว่าไม่เป็นไรๆนั่นแหละ พินาศล่ม จมไปนับไม่ถ้วนแล้ว" 

โทษข้อที่ ๒ เหล้าเป็นเหตุก่อวิวาท 

ท่านคงจะเคยเห็นมาบ้าง คนที่ดื่มเหล้า แล้วชอบชวนทะเลาะไม่เลือกหน้า 
เมาเหล้าแล้วตะโกนด่าใครๆ ตามตรอกตามซอย
เมาเหล้าแล้วเอานายมาด่าว่าสาดเสียเทเสีย
เมาเหล้าแล้วพูดลวนลามผู้หญิง ไม่ว่าลูกเขาเมียใคร
เมาเหล้าแล้วท้าชก ท้าต่อย แม้กับเด็กๆปูนลูกปูนหลาน
หรือเมาเหล้าอวดดี ท้าตีกับพระทั้งวัด 
แล้วก็มีบางคน พลอยเห็นว่า เหล้าเป็นของวิเศษ ทำให้คนกล้า ที่ว่าเหล้าทำให้คนกล้านั้น
เป็นความจริง พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสว่า เหล้าทำให้คนขลาด แต่ตรัสว่า เหล้าเป็นเหตุก่อ
วิวาท

โทษของสุรา 6 ประการ (ในทางพุทธศาลนา) เราลองมาพิจารณากันดูอย่างเป็นกลางว่า ความกล้าที่เราได้รับจากเหล้านั้น ใช้ได้จริงหรือไม่
ความกล้าเป็นคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของคน ใครมีไว้แล้ว ดีกว่าความขี้ขลาดตาขาว แต่ว่า
เมื่อเรามีความกล้าแล้ว จะต้องมีสิ่งหนึ่งคอยกำกับ หรือควบคุม เพื่อให้ความกล้านั้น แสดงออก
ในทางที่ไม่เป็นโทษ เหมือนดาบคมก็ต้องมีฝัก จึงจะไม่มีอันตราย สิ่งกำกับความกล้า ได้แก่
คุณธรรมที่เรียกว่า "สติ" ความระลึกได้ 

กล้า - มีสติ จึงเรียกว่า กล้าหาญ 

ถ้ากล้า โดยไม่มีสติกำกับ เขาเรียกว่า ความบ้าบิ่น ไม่ใช่ความกล้า คนเรามักจะเข้าใจผิด เอา
ความบ้าบิ่นมาเป็นความกล้า คือเห็นใครทำอะไรได้ เกินกว่าคนสามัญ ก็ยกกันว่ากล้าความ
จริง การทำอะไร ผิดจากคนสามัญนี้ อาจทำไปโดยฤทธิ์อย่างอื่นก็ได้ คนที่ทำอะไรแผลงๆ
เลยขีด คนสามัญ เราก็เห็นกันทั่วไป และก็รู้จักกันอยู่แล้วว่า ไม่ใช่คนดี วิเศษเสมอไปทีนี้
เหล้าที่คนดื่ม เข้าไปนั้น เป็นเครื่องทำลายสติ คือทำให้สติฟั่นเฟือน ลืมตัว และหมดสภาพ
ที่เป็นตัวของตัวเอง คนเราพอสติพิกลพิการไปแล้ว ก็ทำอะไรแผลงๆได้ทุกคน ถ้าเราจะถือว่า
การทำเช่นนั้น เป็นความกล้าที่ดีแล้ว ก็นับว่าเป็นการเข้าใจผิด เพราะความกล้า เช่นนั้น ไม่มี
ประโยชน์อะไรเลยแก่ชีวิตของเราและแก่ใครๆ นอกจากเป็นทางนำความร้าวรานมา สู่สังคม
เท่านั้น รวมความแล้ว เหล้าแทนที่จะทำให้ผู้ดื่มเป็นคนกล้า ดังที่บางคนชอบอ้าง แต่กลับทำ
ให้ ผู้ดื่มจนเมาแล้ว ชอบพูดพล่ามกวนใจคนอื่น และเข้าใจผิดในตัวเองว่า เป็นผู้มีฤทธาศักดา
เดช เหนือมนุษย์ทั้งหลาย กลายเป็นคนชอบก่อการทะเลาะวิวาท หลักฐานพยาน มีอยู่ถมไป
หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวให้อ่านอยู่ แทบมิเว้นแต่ละวัน ว่าเมาแล้วตีกัน เมาแล้วฆ่ากัน เมาแล้วชก
ต่อยกัน มีอยู่เสมอ 



โทษข้อที่ ๓ เหล้านำโรคมาให้ 

หมายความว่า การดื่มเหล้าทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บหลายอย่างด้วยกัน ผมเองไม่ใช่หมอ พูด
ไป ประเดี๋ยวท่านก็จะว่า คิดเอาเอง พูดเอาเอง หันเข้าหาหมอดีกว่า ใครจะรู้เรื่องโรคดีกว่า
หมอ และก็ควรจะได้รับความคิดเห็นจากหมอ ที่เชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ เพื่อประมวลความ
คิดเห็นดู หมอคนแรกที่ผมได้ติดต่อปรึกษาหารือ เป็นหมอแผนปัจจุบัน รักษาโรคภัยไข้เจ็บ
ธรรมดา ท่านเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุด
ของกองทัพบก คือพันเอกหลวงมงคลแพทยาคม ( ยศในสมัยนั้น ) ท่านชี้แจงว่าโรคที่เกิด
จากการดื่มสุรา มีอยู่เป็นอันมาก เท่าที่พอจะนึกตอบผมได้ทันที ก็มีดังต่อไปนี้

๑. ทางเดินอาหาร เหล้าทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ
๒. ทางระบบประสาท เหล้าทำให้มือสั่น ตามัว ทำให้เกิดวิกลจริต ที่เรียกว่า บ้าพิษสุรา
๓. ระบบทางเดินโลหิต เหล้าถ้าดื่มพอสมควร ทำให้ชีพจรเต้นเร็ว ถ้าดื่มมาก
ทำให้ชีพจรอ่อนลง เต้นระยะไม่เท่ากัน และสุดท้ายหมดสติ
๔. ต่อมไม่มีสาย เหล้าทำให้อักเสบเรื้อรัง ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ปวดข้อ และเป็นโรคตับแข็ง
๕. ระบบการหายใจ เหล้าทำให้ผู้ดื่มหายใจช้าลง ระยะไม่เท่ากัน

รวมความแล้ว เหล้าให้โทษแก่ร่างกาย
เชิญท่านตามไปพบหมออีกท่านหนึ่ง คือนายแพทย์ประสบ รัตนากร ท่านผู้นี้เป็นนายแพทย์
ผู้เชี่ยวชาญทางจิตและประสาท ได้เคยไปศึกษาเรื่องเหล้าโดยตรง ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ครั้นกลับมาเมืองไทยแล้ว ก็ได้พยายามหาทางชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดื่มเหล้า ให้
ประชาฃนทราบอย่างกว้างขวาง ในคราวเข้าประชุมร่วมกัน ที่กระทรวงมหาดไทย ในฐานะ
เป็นกรรมการลดการดื่มสุรา ผมได้รับมอบบันทึกเรื่องเหล้าไว้จากท่านชุดหนึ่ง ในบันทึกนั้น
ท่านกล่าวถึงเรื่องในอเมริกา เขามีสมาคมเลิกเหล้า ( Alcoholics anomymhus )
สมาคมได้พยายามค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องการดื่มสุรา ซึ่งเป็นปัญหาทางการแพทย์ทุกแง่ทุกมุม
จนสามารถสรุปลงได้ว่า

โรคติดสุรามีอยู่ ๖ ประเภท คือ
๗. Pathological คือโรคเมาเหล้า
๘. Pelirium Tremens คือโรคไข้เหล้า มีอาการลืมตัว ผวาง่าย มีไข้สูง ๓ - ๑๐ วัน ระแวง
มองเห็นภาพลวงตา แล้วหวาดกลัว รู้สึกแปลกๆ คล้ายแมลงตอมไต่ผิวหนัง อัตราการตาย
สูงถึง ๑๐ %
๓. Korsakoff's Syndrome คือโรคเหล้าละลายประสาท ไม่อยากกินอาหาร เหน็บชา
ลืมตัวง่ายพูดพล่อย
๔. Acutchallucinosis คือโรคเหล้าละลายจิต มีอาการเหมือนโรคจิต มีความระแวงและ
สำคัญผิด เห็นและได้ยินสิ่งลวงตา ลวงหู บางครั้งทนไม่ได้ ต้องด่า หรือออกท่าทางประกอบ

นอกจากนี้ ท่านได้กล่าวถึงสถิติในอเมริกา มีคนติดเหล้าประมาณ ๕ - ๗ ล้านคน คนเหล่านั้น
ทำให้เกิดผลเสียแก่ทางเศรษฐกิจของชาติ ๘,๐๐๐ ล้านเหรียญต่อปีในบูดาเปสต์ มีหลักฐาน
แน่นอนว่า คนที่ฆ่าตัวตายนั้น เป็นพวกติดเหล้าเสีย ๘๐ %ดร.ฟอเรล ได้ทำการสำรวจ ใน
ประเทศสวิส พบว่า ๓ ใน ๔ ของพวกอาชญากร ปรากฏว่าเป็นพวกติดเหล้า และ ๑ ใน ๓
ของคนที่ต้องไปรักษาตัวในโรงพยาบาลโรคจิตนั้น มีเหล้าเป็นต้นเหตุรวมอยู่ด้วยเสมอ ฟัง
หมอแผนปัจจุบันกี่คนๆ ก็ว่าเหล้าเป็นเครื่องนำโรคเหมือนกันลองหันไปหาหมอไทยๆ แผน
โบราณดูบ้าง จะว่าอย่างไร ?สำหรับหมอแผนโบราณ ผมจะไม่ไปรบกวนหมอตามบ้านล่ะ
เข้าเฝ้า "หมอเดิม" ทีเดียว คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ผู้ทรง
รอบรู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี ได้ทรงอธิบายไว้ชัดเจน ว่าเหล้าทำให้เกิดโรคหลายอย่างเช่น

* โรคขัดตามข้อ
* โรคเมื่อยขบ
* โรคแน่น มีลมพิษในกระเพาะ
* โรคจุกเสียด
* โรคอ้วก
* โรคอ้วนฉุ อ่อนเพลีย
* โรคนอนไม่หลับ
* โรคเบื่ออาหาร ลิ้นเป็นฝ้า คอแห้ง 


เท็จจริงประการใด หวังว่าทุกท่านพอจะพิสูจน์ได้ ลองนึกถึงคนที่ติดสุราดูก็ได้ เท่าที่
ท่านเคยพบ เห็นว่ามีโรคพวกนี้จริงหรือไม่ รวมความว่า หลักวิชาการอันหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้า
ตรัสไว้เมื่อ กว่า ๒,๕๐๐ ปีก่อนโน้นว่า "เหล้านำโรคมาให้" ก็ยังถูกต้องจนทุกวันนี้ "หมอ"
ทั้งแผนเก่าแผนใหม่ ทั้งหมอไทย หมอฝรั่ง ต่าง รับรองกันทั้งสิ้น. 

โทษข้อที่ ๔ เหล้าทำให้เสียชื่อเสียง 

แน่นอนที่สุด ชื่อเสียงย่อมไม่มีแก่คนสติฟั่นเฟือน ซึ่งอาจทำความผิดได้ทุกประตู บางคน
อ้างว่า ดื่มเพื่อสังคม คล้ายๆกับว่า การสังคมคบหากัน จำเป็นต้องดื่มเหล้า ไม่ดื่มไม่ได้ ซึ่ง
เป็นความเข้าใจผิด หรือเป็นการแก้ตัว ผมเคยฟังท่านผู้ใหญ่บรรยายมารยาท ในสังคม และ
เคยศึกษาจากตำราสังคมหลายเล่ม ไม่เคยฟังหรือพบว่า การสังคมต้องดื่มเหล้า มีแต่สอน
ซ้ำๆซากๆว่า "จงอย่าดื่มสุรา ถ้าอดไม่ได้จริงๆ ก็จงดื่มให้น้อยที่สุด และเมื่อรู้สึกตัว ว่าเมา
ควรรีบปลีกออกจากสังคมเสีย"... มีแต่สอนกันอย่างนี้ เหล้าไม่ใช่แกนแห่งสังคมแน่ บางคน
อ้างความจำเป็นในการผูกมิตร จึงดื่มเหล้า อ้างว่าถ้าไม่ดื่มเหล้า เราจะนับถือ กันได้อย่างไร ?

นี่ก็อีกแหละ คนเลี้ยงเหล้ามีเพื่อนมากจริง เราอาจหาเพื่อนได้เป็นพันๆในชั่วโมงเดียว แต่
น่า เสียดายที่ว่า รุ่งเช้า เหล้าสร่างแล้ว มิตรภาพก็สร่างไปด้วย พอเมาแล้ว ก็มักจะปววารณา
"น้องชายมีอะไรใช้พี่นะ อย่าเกรงใจ"... แต่รุ่งเช้า พูดกันไม่รู้เรื่อง ดูซิ เพราะฉะนั้น เราตั้ง
สูตรได้ว่า มิตรที่ได้ด้วยเหล้า ก็เหมือนผ้าที่ย้อมด้วยขมิ้น สีตกเร็ว ต้องย้อมกันบ่อยๆ จึงจะได้
สีเดิม ผู้ที่ผูกมิตรด้วยเหล้า ถ้าตัวตกอับลง ไม่มีเหล้าให้เขากินเมื่อไร มิตรก็จะหายไปเมื่อนั้น
ผมเคยเห็นมาแล้ว เป็นเหตุการณ์ที่เกิดใกล้กับตัวข้าพเจ้ามาก คือท่านผู้ซึ่งเคยเป็นเจ้ามือเลี้ยง
เหล้า ขนาดหนักผู้หนึ่ง ซึ่งบรรดาคอสุราทั้งหลายยกเป็น "ตั้วเฮีย" ทีเดียว เกิดล้มป่วยลง
อย่างหนัก พอแสดงอาการหมดหวัง ที่จะเป็นเจ้ามือได้ต่อไปแล้ว บรรดาสุรามิตรทั้งหลาย
ซึ่งไม่เคยขาดบ้านแต่ก่อน หายหน้าไปหมด เหลือแต่ผู้นับถือกันด้วยใจแท้ๆ ไม่มีอะไรย้อม
คอยนั่งกรอก ข้าวกรอกน้ำให้ เป็นอย่างนี้แหละท่าน มิตรภาพใน ขวดเหล้า มันระเหยได้
เมื่อเหล้าหมด มิตรก็หมดด้วย

โทษที่ ๕ เหล้าเป็นเหตุให้ทำน่าอดสู 

ข้อนี้ จริงที่สุดอีกเหมือนกัน ใครๆก็เคยพบเคยเห็น คนเราเวลาปกติก็เรียบร้อย จะออกจาก
บ้านแต่ละที ต้องกวดขันเสื้อกางเกง กลีบไม่กระดิก จะพูดจาก็รู้จักรักษาชั้นเชิง ไว้ศักดิ์รักศรี
ไม่ให้ใครดูถูก แต่ครั้นเมาแล้ว กลายเป็นคนละคน ความคิดที่จะถนอมเกียรติ และศักดิ์ศรี
ของตนเอง ไม่รู้หายไปไหน เลยทำอะไรได้ทุกอย่าง ที่คนไม่เมาทำไม่ได้ ที่ว่าทำน่าอดสู ก็คือ
ทำสิ่งน่าอับอาย เช่น นอนกลางถนน นั่งลงบนที่โสโครก ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ และโก่งคอ
อาเจียน ในที่ทุกหนทุกแห่ง ปล่อยปละกับการแต่งเนื้อแต่งตัว รวมความว่า "หมดตัว" ก็แล้ว
กัน อย่าว่าแค่เสื้อผ้าเลย แม้แต่แข้งขาตีนมือของตัวเอง ก็ปล่อย ทิ้งหมด มันเป็นความจริง
ที่ไม่น่าจะเสียเวลาอธิบาย เพราะเห็นกันอยู่ทั่วไปแล้ว หัวคิดที่ออกมาในขณะมึนเมานั้นเป็น
หัวคิด ที่ใช้การไม่ได้ มีใครมาเล่าให้ฟัง จำไม่ได้เสียแล้ว

จำได้แต่ว่า ขณะนั้น ข้าพเจ้าประจำอยู่ที่กองพลที่ ๔ นครสวรรค์ และก็กำลังโดยสารรถ
ล่องลงมาจากเหนือ มีใครคนหนึ่ง สนทนามาในรถไฟ มาเล่าให้ฟังถึงหัวคิดของคนเมา
เท็จจริงให้เป็น ของคนเล่าก็แล้วกัน และถ้าพาดพิงถึงท่านผู้ใด ก็ขอโทษด้วย เล่าตามที่เขา
เล่า ครั้งหนึ่ง ทางจังหวัด มีการสร้างถนน จากตัวจังหวัด ไปถึงอำเภอแห่งหนึ่งครั้นทำถนน
เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้คน งานเอารถบรรทุกหลักกิโลเมตร ไปปักตามรายทาง วิธีทำ
ก็คือ คนพวกพวกนี้จะต้องวัดระยะทาง ๑ ก.ม. และขุดหลุมปักหลักกิโลไว้ แต่ครั้นพ้นสายตา
นายไปแล้ว คนงานทั้งหมดก็พากัน "ตกน้ำ" ล่อกันเสียเมาแอ๋ พอเมาแล้ว ก็เกิดความคิดขึ้นมา
แปลกๆ คนหนึ่ง เสนอความเห็นขึ้นว่า การที่นายสั่งให้ปักหลักกิโล รายกันออก ห่างกัน ๑ ก.ม.
นั้นไม่ถูก ผิดศีลธรรม เพราะเป็นการทรมานหลักกิโล ให้พลัด พรากกัน เขาจะคุยกันบ้างก็ไม่
ได้ เป็นบาปหนัก นายสั่งผิด คณะพรรคพวกเห็นจริงด้วย มีมติเป็นเอกฉันท์ ไชโย ปักหลักกิโล
รวม กันไว้ดีกว่า ที่สุด เมื่อเสร็จแล้ว หลักกิโลสายนี้ ก็เลยพิกล ไปหมด บางทีเดินตั้งครึ่งวัน ก็
ไม่เจอ หลักกิโล แต่พอเจอเข้า ก็เห็นปักรวมกันไว้ เป็นสิบๆหลัก ตั้งสลอนเหมือนป่าช้าฝรั่ง
ครั้นสอบสวนได้ความตามที่เล่ามาแล้ว คือคนงาน พากัน "ตกน้ำ" เสีย พอสมองพิกล งาน
ก็พิการไปด้วย... น่า อดสูนักแลพ่อตา ลดลง เรียก ลูกเขยว่าเพื่อน...ลูกเขยสถาปนาตัวเองขึ้น
เรียกพ่อตาว่า "ไอ้น้องชาย" มีอยู่ถมไปในวงสุรา" 

โทษข้อที่ ๖ เหล้าบั่นทอนกำลังปัญญา 

ยังมีผู้เข้าใจผิดอีกอย่างหนึ่งว่า เหล้าทำให้ปัญญาเปรื่องปราชญ์ หัวคิดแล่น บางคนอ้าง
ตัวอย่าง สุนทรภู่ กวีเอกของไทย ว่าแต่งกลอนได้ดี ก็เพราะเหล้า มีชื่อเสียงเพราะเหล้า ซึ่ง
เป็นความเข้าใจ และเป็การอ้างที่ผิดจากความจริง ความจริง สติปัญญาของคน ได้มาจาก
การศึกษา คนกินเหล้ามาก เหล้าทำให้ปัญญาทึบ ถ้าเขาไม่ได้กินเหล้า สมองจะมึนชา แต่ถ้า
กินเหล้า เหล้าจะเข้า ไปกระตุ้นเส้นประสาท ให้ความคิดแจ่มใสชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วก็กลับ
ทรุดหนักลงไปอีก คนติดสุราแล้ว เลยคว้าเอาตรงที่เหล้ากระตุ้นประสาทนั้น ว่าเหล้าทำให้
ปัญญาเปรื่องปราชญ์ เป็นการคิดถึงผลได้เพียง หยิบมือเดียว แต่ที่เสีย ไปตั้งกอง ไม่พูดถึง
การที่อ้างสุนทรภู่เป็นตัวอย่างว่า แต่งกลอนได้ดีเพราะเหล้า และมีชื่อเสียงเพราะเหล้านั้นผิด
ถนัด
อ่านประวัติสุนทรภู่ดูเถอะ ฉบับของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ และฉบับของ กรมพระยา
ดำรงราชานุภาพ แสดงไว้ชัดเจนว่า สุนทรภู่เป็นนักแต่งกลอนก่อนกินเหล้า ไม่ใช่กินแล้วจึง
แต่งเป็นจะว่าสุนทรภู่ได้ปัญญามาจากเหล้าได้อย่างไร และเหล้าไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของ
สุนทรภู่ดีขึ้นเลย ตรงข้าม เหล้าทำให้สุนทรภู่ลำบากยากเข็ญมาก แล้วทำให้สุนทรภู่ต้องติด
คุกติดตะราง เหล้าทำให้สุนทรภู่ถูกเมียทิ้งและเหล้าทำให้สุนทรภู่ ถูกโหรเรียกว่า
"อาลักษณ์ขี้เมา" 


รวมความว่า ถ้าเกียรติยศของสุนทรภู่จะแจ่มใสเหมือนดวงอาทิตย์ เหล้าก็เป็นผู้สร้างจุดดำ
ขึ้นในดวงอาทิตย์นั้น ข้อนี้ สุนทรภู่เองรู้ดี จึงแต่งกลอนสาปเหล้าว่า "น้ำนรก"
กลอนนั้นว่า
"ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย" 


และเมื่อสำนึกตัวได้แล้ว สุนทรภู่ก็เลิกดื่มเหล้า แล้วเขียนกลอนไว้ว่า "ถึงนครชัยศรีมีโรงเหล้า เป็นของเมาตัดขาดไม่ปรารถนา "ถ้าเหล้าเพิ่มสติปัญญาให้คนจริง
เราคิดง่ายๆก็แล้วกัน รัฐบาลคงเปิดให้คนต้มเหล้ากินอย่างเสรีมานานแล้ว พลเมืองจะได้ฉลาด
ไม่ต้องตั้งกระทรวงศึกษาธิการให้เสียเงินเปล่าๆ และพระพุทธเจ้าคงไม่ห้ามการกินเหล้าแน่
การหาเรื่องโฆษณา ว่าการกินเหล้า ดีอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นเรื่องของคนดื่มเหล้าจนติด แล้ว
โฆษณาปลอบใจตัวเอง และในโอกาสเดียวกัน ก็หาเพื่อน หรือหาเจ้ามือไว้ ฝ่ายคนขายเหล้า
ก็กระพือใหญ่ เพื่อให้คนนิยมกินเหล้ามากๆ ตัวจะได้รวย"


Credit : dhammathai.org